กองทุนรวมแบบไหน ตอบโจทย์คนที่กลัวความเสี่ยง หรือฟรีแลนซ์ที่ชอบท้าทายความเสี่ยงได้ดีที่สุด?
ปัจจุบันในเมืองไทยมีกองทุนรวมเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ตามข้อมูลของ Morning Star Thailand ตอนนี้มีทั้งหมดประมาณ 1,735 กองทุน (ส่วนของ WealthMagik มีประมาณ 1,706 กองทุน) และกองทุนรวมสมัยนี้ก็ตั้งชื่อเป็นตัวย่ออ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง เขียนกันเป็นภาษาอังกฤษ โฆษณาขายกันทางวิทยุหรือเว็บไซต์เต็มไปหมด และก็บอกระดับความเสี่ยงเป็นตัวเลขแบบวิชาการ อ่านแล้วไม่ค่อยแน่ใจว่าเหมาะกับเราหรือเปล่า วันนี้ เช็คราคา.คอม จะมาอธิบายช่วยจัดกลุ่มความเสี่ยงของพวกเราด้วยภาษาง่ายๆ เพื่อช่วยจับคู่ให้พวกเราเห็นว่าถ้าเรารับความเสี่ยงได้ประมาณนี้ เราควรเลือกกองทุนรวมประเภทไหน เรามาดูกันครับ (หลักๆ จะอิงตามนโยบายการลงทุน 10 แบบมาตรฐานของสำนักงาน ก.ล.ต.)
ภาพรวมของความเสี่ยงกองทุนรวม (จาก Uobam) ถ้าคุณเป็นคนประเภท Risk Averse หรือ Super Conservative ซึ่งตามเกณฑ์ของ ก.ล.ต. เป็นคนที่เหมาะกับกองทุนรวมที่มีความปลอดภัยสูงที่สุด เรียกว่าความเสี่ยงระดับ 1 (จาก 8) (ระดับ 1 คือเสี่ยงต่ำมาก) ซึ่งถ้าเราเป็นคนแบบนี้ เราต้องยอมรับก่อนว่าอัตราผลตอบแทนจะต่ำตามความเสี่ยง คือโดยเฉลี่ยจะประมาณ 1-2% ต่อปีเท่านั้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลตอบแทนมากกว่าการฝากเงินกับธนาคารเล็กน้อย ไม่ต้องการความเสี่ยงและมีวัตถุประสงค์การลงทุนในระยะสั้น ๆ กองทุนในกลุ่มนี้คือ
กองทุนรวมตลาดเงินที่ลงทุนเฉพาะในประเทศไทย และระยะสั้น (Domestic Money Market Fund) | มีนโยบายลงทุนเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น โดยลงทุนในเงินฝากธนาคาร ตั๋วเงินคลัง ตราสารทางการเงินในประเทศ หรือทรัพย์สินอื่น ซึ่งมีกำหนดชำระคืนเมื่อทวงถาม หรือจะครบกำหนดชำระคืน หรือมีอายุสัญญาไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่เข้าลงทุน หรือเข้าทำสัญญานั้น และมี Portfolio Duration ในขณะใดขณะหนึ่ง ไม่เกิน 3 เดือน (คำว่า Portfolio Duration คือตัวเลขของอายุเฉลี่ยของเงินฝาก หรือตราสารทั้งหมดที่เหลืออยู่ (นับจนถึงวันครบกำหนดของเงินฝาก หรือตราสาร) ที่กองทุนรวมนั้นลงทุนอยู่ ณ ขณะนั้นๆ) ยิ่งตัวเลขน้อย เช่น 3 เดือนย่อมเสี่ยงน้อย เพราะระยะเวลาที่จะเกิดความผันผวนของดอกเบี้ยจะน้อยลงนั่นเอง |
ความเสี่ยงระดับ 1
ความเสี่ยงระดับ 1
กองทุนประเภทนี้เรียกได้ว่าเป็นพวกกองทุน Conservative ซึ่งตามเกณฑ์ของ ก.ล.ต. เป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงไม่เยอะ เรียกว่าความเสี่ยงระดับ 2-4 (จาก 8) (เสี่ยงปานกลางค่อนไปทางเสี่ยงต่ำ) อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของกองทุนรวมความเสี่ยงระดับนี้ จะมีได้ตั้งแต่ 3-4% ต่อปี กองทุนรวมประเภทนี้เหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้น้อย เน้นปกป้องเงินลงทุน โดยมุ่งหวังรายได้สม่ำเสมอจากการลงทุน ซึ่งถ้าเราเป็นคนแบบนี้ กองทุนรวมที่เหมาะกับคุณจะเป็นกลุ่มนี้ โดยมีตัวอย่างกองทุนของจริงข้างล่างนี้
กองทุนรวมพันธบัตรรัฐบาลไทย ในระยะยาว (Long-Term Government Bond Fund) | มีนโยบายเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือตราสารหนี้ที่กระทรวงการคลังไทยค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ย ซึ่งมีกำหนดเวลาชำระคืนที่หลากหลายนานกว่า 1 ปี ดังนั้น จึงมีเรื่อง Maturity Risk เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย |
กองทุนรวมที่ลงทุนในตลาดเงินต่างประเทศบางส่วน (Partially Overseas Investing Money Market Fund) | มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศบางส่วน โดยลงทุนในเงินฝากตราสารหนี้ หรือหลักทรัพย์ ในต่างประเทศซึ่งมีกำหนดชำระคืนเมื่อทวงถาม หรือจะครบกำหนดชำระคืนหรือมีอายุสัญญาไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ลงทุนในทรัพย์สินหรือเข้าทำสัญญานั้น ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงเรื่อง Currency Risk |
กองทุนรวมตราสารหนี้ที่ไม่จำกัดประเภท (Fixed Income Fund) | มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั่วไป คือ ไม่มีข้อจำกัดว่าเป็นตราสารหนี้แบบไหน ระยะเวลาเท่าใด ดังนั้น จึงมีทั้งความเสี่ยงเรื่อง Maturity Risk และ Credit Risk ของผู้ออกตราสารนั้นๆ |
กองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ระยะสั้น (Short-term Fixed Income fund) | มีนโยบายการลงทุนในเงินฝาก หรือตราสารหนี้ โดยทั้งกองทุนมี Portfolio Duration ในขณะใดขณะหนึ่งของกองทุนรวมนั้นไม่เกิน 1 ปี (คำว่า Portfolio Duration คือตัวเลขของอายุเฉลี่ยของเงินฝาก หรือตราสารทั้งหมดที่เหลืออยู่ (นับจนถึงวันครบกำหนดของเงินฝาก หรือตราสาร) ที่กองทุนรวมนั้นลงทุนอยู่ ณ ขณะนั้นๆ) ยิ่งตัวเลขน้อย เช่น 3 เดือน ย่อมเสี่ยงน้อย เพราะระยะเวลาที่จะเกิดความผันผวนของดอกเบี้ยจะน้อยลงนั่นเอง เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้น และต้องการความเสี่ยงต่ำ |
กองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ระยะยาว (Long-term Fixed Income Fund) | มีนโยบายการลงทุนในเงินฝาก หรือตราสารหนี้ โดยกองทุนมีวัตถุประสงค์ที่จะดำรง Portfolio Duration ในขณะใดขณะหนึ่งของกองทุนรวมนั้นมากกว่า 1 ปีขึ้นไป (คำว่า Portfolio Duragion คือตัวเลขของอายุเฉลี่ยของเงินฝาก หรือตราสารทั้งหมดที่เหลืออยู่ (นับจนถึงวันครบกำหนดของเงินฝาก หรือตราสาร) ที่กองทุนรวมนั้นลงทุนอยู่ ณ ขณะนั้นๆ) ยิ่งตัวเลขน้อย เช่น 3 เดือน ย่อมเสี่ยงน้อย เพราะระยะเวลาที่จะเกิดความผันผวนของดอกเบี้ยจะน้อยลงนั่นเอง เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงต่ำ และสามารถลงทุนระยะยาวได้ |
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) | มีนโยบายลงทุนในกองทุนที่ให้เช่าทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์ หรือให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม คลังสินค้า โรงไฟฟ้า โทรคมนาคม เป็นต้น กองทุนประเภทนี้จะมีความหลากหลายมาก และอาจมีได้ทั้งความเสี่ยงตั้งแต่ 2-8 โดยหากคนสนใจกองทุนรวมประเภทนี้ จะต้องศึกษารายละเอียดของกองทุนแต่ละตัว ก่อนตัดสินใจว่าเราจะรับความเสี่ยงได้เพียงใด ตัวอย่าง เช่น
(ก) ทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง จะมีความเสี่ยงสูงกว่าทรัพย์สินที่สร้างเสร็จ และมีรายได้แล้ว (ข) หากเป็นกองทุนรวมให้เช่าทรัพย์สิน ผู้เช่าระยะยาว และจดทะเบียนเช่า (เช่น เกิน 3 ปี) จะมีความเสี่ยงน้อยกว่าผู้เช่าระยะสั้น (ต่ำกว่า 3 ปี) (ค) กองทุน leasehold จะมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุน freehold ในเรื่องมูลค่าทรัพย์สินที่ลดลงตามอายุสิทธิการเช่าที่เหลืออยู่ (ง) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน จะมีลักษณะทรัพย์สิน และเงื่อนไขในสัญญาจัดหาประโยชน์ที่ซับซ้อนกว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (จ) กองทุนรวมที่รับรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศ ย่อมมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนรวมที่รับรายได้เป็นเงินบาท เนื่องจาก Exchange Risk |
ความเสี่ยงระดับ 3
ความเสี่ยงระดับ 4
กองทุนประเภทนี้เรียกได้ว่าเป็นพวกกองทุนผสม (Balance Fund) ซึ่งตามเกณฑ์ของ ก.ล.ต. เป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงระดับปานกลางค่อนไปทางสูง เรียกว่าความเสี่ยงระดับ 5 (จาก 8) (เสี่ยงปานกลางค่อนไปทางเสี่ยงสูง) เหมาะสำหรับคนที่สามารถยอมรับมูลค่าการลงทุนที่ลดลงเป็นครั้งคราวได้ ประเภทของกองทุน และตัวอย่างที่ขายในตลาด มีดังนี้
กองทุนรวมผสม หรือกองทุนตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (Balance Fund) | มีนโยบายลงทุนผสม ระหว่างตราสารหนี้และตราสารทุน โดยลงทุนในตราสารหนี้ และลงทุนได้ทุกประเภท ผู้จัดการกองทุนสามารถแสวงหาโอกาสลงทุนที่ดีกว่าได้ทั้งในตลาดตราสารทุน และตลาดตราสารหนี้ แต่เป็นการจัดสรรเงินลงทุนประเภทสมดุล เพราะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับ Ceiling และ Floor ในการลงทุนในตราสารทุน เช่น ห้ามลงทุนบางอย่างเกินกี่ % ของทั้งพอร์ตการลงทุน เป็นต้น |
กองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่น (Flexible Portfolio Fund) | มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์ หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนด หรือให้ความเห็นชอบให้กองทุนประเภทดังกล่าวลงทุนได้ การจัดสรรเงินลงทุน และจะลงทุนตรงไหน จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจลงทุนของผู้จัดการกองทุนรวม ตามความเหมาะสม และสภาวการณ์ในแต่ละขณะ สามารถลงทุนในตราสารทุน และตราสารหนี้ทุกประเภท เช่นเดียวกับกองทุนรวมผสม แต่ไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับ Ceiling และ Floor ในการลงทุนในตราสารทุนว่าต้องเป็นกี่ % หรือไม่เกินกี่ % แต่อย่างใด |
กองทุนรวมที่ลงทุนในหน่วยลงทุนอื่น (Fund of Funds) | กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุน และใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอื่น โดยรวมแล้ว กองทุนรวมประเภทนี้จะมีการกระจายการลงทุนไปในหลายกองทุนรวมภายใต้การจัดการของหลายผู้จัดการกองทุน และหลายบริษัทจัดการ จึงเป็นการกระจายความเสี่ยงที่กว้างขวาง แต่ก็มีข้อเสียว่าค่าธรรมเนียมในการจัดการ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ จะมีความซ้ำซ้อน |
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) | มีนโยบายลงทุนในกองทุนที่ให้เช่า ทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์ หรือให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม คลังสินค้า โรงไฟฟ้า โทรคมนาคม เป็นต้น กองทุนประเภทนี้จะมีความหลากหลายมาก และอาจมีได้ทั้งความเสี่ยงตั้งแต่ 2-8 โดยหากคนสนใจกองทุนรวมประเภทนี้ จะต้องศึกษารายละเอียดของกองทุนแต่ละตัว ก่อนตัดสินใจว่าเราจะรับความเสี่ยงได้เพียงใด ตัวอย่าง เช่น
(ก) ทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง จะมีความเสี่ยงสูงกว่าทรัพย์สินที่สร้างเสร็จ และมีรายได้แล้ว (ข) หากเป็นกองทุนรวมให้เช่าทรัพย์สิน ผู้เช่าระยะยาว และจดทะเบียนเช่า (เช่น เกิน 3 ปี) จะมีความเสี่ยงน้อยกว่าผู้เช่าระยะสั้น (ต่ำกว่า 3 ปี) (ค) กองทุน leasehold จะมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุน freehold ในเรื่องมูลค่าทรัพย์สินที่ลดลงตามอายุสิทธิการเช่าที่เหลืออยู่ (ง) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน จะมีลักษณะทรัพย์สิน และเงื่อนไขในสัญญาจัดหาประโยชน์ที่ซับซ้อนกว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (จ) กองทุนรวมที่รับรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศ ย่อมมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนรวมที่รับรายได้เป็นเงินบาท เนื่องจาก Exchange Risk |
ความเสี่ยงระดับ 5
กองทุนประเภทนี้เรียกได้ว่าเป็นกองทุนที่เหมือนเราลงทุนในหุ้นโดยตรง ราคากองทุนรวมประเภทนี้จะขึ้น-ลงไปตามดัชนีซื้อขายหุ้นที่ไปลงทุน ซึ่งตามเกณฑ์ของ ก.ล.ต. เป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูง เรียกว่าความเสี่ยงระดับ 6-7 (จาก 8) (เสี่ยงสูง) เหมาะสำหรับคนที่ยอมรับความเสี่ยงสูงได้ รับความผันผวนของตลาดได้ และสามารถยอมรับการขาดทุนได้ โดยมุ่งหวังการเติบโตของเงินลงทุน และผลตอบแทนในระยะยาว ตัวอย่าง และกองทุนพวกนี้จะเป็นตามกลุ่มนี้
กองทุนรวมลงทุนในหุ้น (ตราสารทุน) (Equity Fund) | มีนโยบายการลงทุนในหุ้น หรือตราสารทุนเป็นหลัก โดยทั่วไปแล้วกองทุนรวมตราสารแห่งทุน มีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนรวม ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารประเภทอื่น จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูง และควรลงทุนเพื่อหวังผลที่ดีกว่าในระยะยาว |
กองทุนรวมในหุ้น (ตราสารทุน) ของอุตสาหกรรม หรือกลุ่มธุรกิจใดกลุ่มหนึ่ง (Sector Fund) | มีนโยบายการลงทุนโดยเฉพาะเจาะจงในหุ้น หรือตราสารทุนของบริษัทเพียงบางหมวดอุตสาหกรรม หรือบางธุรกิจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (เช่น กลุ่มค้าปลีก กลุ่มธุรกิจส่งออก หรือกลุ่มธนาคาร เป็นต้น) ดังนั้น จึงเป็นการลงทุนที่กระจุกตัว จึงมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนรวมตราสารแห่งทุนโดยทั่วไป และในบางกรณี แม้ดัชนีหุ้นไทยโดยรวมอาจขึ้นสูง แต่อุตสาหกรรมนั้นๆ กลับมีปัญหา ก็จะทำให้กองทุนรวมของอุตสาหกรรมนั้นๆ ขาดทุน หรือมูลค่าลดลงได้ |
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) | มีนโยบายลงทุนในกองทุนที่ให้เช่า ทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์ หรือให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม คลังสินค้า โรงไฟฟ้า โทรคมนาคม เป็นต้น กองทุนประเภทนี้จะมีความหลากหลายมาก และอาจมีได้ทั้งความเสี่ยงตั้งแต่ 2-8 โดยหากคนสนใจกองทุนรวมประเภทนี้ จะต้องศึกษารายละเอียดของกองทุนแต่ละตัว ก่อนตัดสินใจว่าเราจะรับความเสี่ยงได้เพียงใด ตัวอย่าง เช่น
(ก) ทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง จะมีความเสี่ยงสูงกว่าทรัพย์สินที่สร้างเสร็จ และมีรายได้แล้ว (ข) หากเป็นกองทุนรวมให้เช่าทรัพย์สิน ผู้เช่าระยะยาว และจดทะเบียนเช่า (เช่น เกิน 3 ปี) จะมีความเสี่ยงน้อยกว่าผู้เช่าระยะสั้น (ต่ำกว่า 3 ปี) (ค) กองทุน leasehold จะมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุน freehold ในเรื่องมูลค่าทรัพย์สินที่ลดลงตามอายุสิทธิการเช่าที่เหลืออยู่ (ง) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน จะมีลักษณะทรัพย์สิน และเงื่อนไขในสัญญาจัดหาประโยชน์ที่ซับซ้อนกว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (จ) กองทุนรวมที่รับรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศ ย่อมมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนรวมที่รับรายได้เป็นเงินบาท เนื่องจาก Exchange Risk |
ความเสี่ยงระดับ 6
ความเสี่ยงระดับ 7
กองทุนประเภทนี้เรียกได้ว่าเป็นพวกกองทุน Aggressive ซึ่งตามเกณฑ์ของ ก.ล.ต. เป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงระดับ 8 (จาก 8) (เสี่ยงสูงมาก) เหมาะสำหรับคนที่สามารถยอมรับกับการขาดทุน หรือสูญเสียได้อย่างน้อยประมาณ 20-30% และต้องการผลตอบแทนในระดับที่สูง
กองทุนที่มีการลงทุนในทรัพย์สินทางเลือก (Alternative Fund) | มีนโยบายลงทุนในทรัพย์สินที่เป็นทางเลือกใหม่ในการลงทุน หรือมีโครงสร้างซับซ้อน เข้าใจยาก เช่น Commodity, Gold Fund, Derivatives ที่ไม่ใช่เพื่อการบริหารความเสี่ยง (Hedging) ซึ่งรวมถึงตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝงที่ไม่คุ้มครองเงินต้นด้วย เป็นต้น |
กองทุนรวมใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant fund) | มีนโยบายการลงทุนในใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นกู้ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุน และใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นเพิ่มทุน การลงทุนในใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น มีความเสี่ยงสูง กองทุนประเภทนี้จึงมีความเสี่ยงสูงมาก |
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund)
| มีนโยบายลงทุนในกองทุนที่ให้เช่า ทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์ หรือให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม คลังสินค้า โรงไฟฟ้า โทรคมนาคม เป็นต้น กองทุนประเภทนี้จะมีความหลากหลายมาก และอาจมีได้ทั้งความเสี่ยงตั้งแต่ 2-8 โดยหากคนสนใจกองทุนรวมประเภทนี้ จะต้องศึกษารายละเอียดของกองทุนแต่ละตัว ก่อนตัดสินใจว่าเราจะรับความเสี่ยงได้เพียงใด ตัวอย่าง เช่น
(ก) ทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง จะมีความเสี่ยงสูงกว่าทรัพย์สินที่สร้างเสร็จ และมีรายได้แล้ว (ข) หากเป็นกองทุนรวมให้เช่าทรัพย์สิน ผู้เช่าระยะยาว และจดทะเบียนเช่า (เช่น เกิน 3 ปี) จะมีความเสี่ยงน้อยกว่าผู้เช่าระยะสั้น (ต่ำกว่า 3 ปี) (ค) กองทุน leasehold จะมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุน freehold ในเรื่องมูลค่าทรัพย์สินที่ลดลงตามอายุสิทธิการเช่าที่เหลืออยู่ (ง) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน จะมีลักษณะทรัพย์สิน และเงื่อนไขในสัญญาจัดหาประโยชน์ที่ซับซ้อนกว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (จ) กองทุนรวมที่รับรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศ ย่อมมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนรวมที่รับรายได้เป็นเงินบาท เนื่องจาก Exchange Risk |
ความเสี่ยงระดับ 8
ความเสี่ยงระดับ 8
ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่อยากซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีก่อนสิ้นปี และในขณะเดียวกันใครที่กล้าได้กล้าเสีย ชอบผลตอบแทนสูงๆ ตอนนี้ตลาดหุ้นผันผวนสูงมาก ใครที่อยากลองเปลี่ยนการลงทุน (เอง) จากตลาดหุ้นมากองทุนที่มีระดับความเสี่ยงสูง (ผ่านผู้จัดการกองทุน) ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย ลองดูกันนะครับ และขอให้ทุกคนโชคดีได้ผลตอบแทนสมกับความเสี่ยงที่เราลงทุนลงแรงไปนะครับ
-
ชัช อนุวัตรอุดม
MONEY GURU Thailand